การรักษาเอชไอวี ความก้าวหน้าทางการแพทย์เปลี่ยนชีวิตผู้ติดเชื้อให้ดีขึ้น
ในอดีต การติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เคยถูกมองว่าเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่มีทางรักษา แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ ทำให้การรักษาเอชไอวีในปัจจุบันมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก ผู้ที่ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หากได้รับการดูแล และรักษาอย่างเหมาะสม

เอชไอวี ไม่ใช่จุดจบของชีวิต แต่เป็นโรคเรื้อรังที่ควบคุมได้ ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่แข็งแรงและใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่
การรักษาเอชไอวี คืออะไร?
ปัจจุบัน การรักษาเอชไอวีไม่ได้เป็นการรักษาให้หายขาด แต่เป็นการควบคุมเชื้อไวรัสในร่างกายให้ลดลงจนอยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ (Undetectable) ซึ่งช่วยลดโอกาสการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่น และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ตามปกติ
การรักษาหลักของเอชไอวี คือ ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy – ART) ซึ่งช่วยกดเชื้อไวรัส และทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวเหมือนคนทั่วไป
แนวทางการรักษาเอชไอวีในปัจจุบัน
ปัจจุบัน การรักษาเอชไอวีมีความก้าวหน้าไปมาก และสามารถช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ผู้ติดเชื้อสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับคนทั่วไป และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART – Antiretroviral Therapy)
- ยาต้านไวรัสเอชไอวี (ART) เป็นการรักษาหลักที่ช่วยควบคุมระดับไวรัสในร่างกาย ทำให้ระดับเชื้อไวรัสลดลงจนอยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ (Undetectable)
- ART ไม่ได้รักษาให้หายขาด แต่ช่วยยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส ลดการทำลายระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น
- ผู้ติดเชื้อจำเป็นต้อง กินยาอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เพื่อให้ไวรัสอยู่ภายใต้การควบคุม และป้องกันการดื้อยา
- ยาต้านไวรัสมีหลายกลุ่ม เช่น NRTIs, NNRTIs, PIs, INSTIs และยารวมสูตรเดียวที่ช่วยลดจำนวนเม็ดยาที่ต้องรับประทาน
แนวคิด U=U (Undetectable = Untransmittable)
- หากผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้รับการรักษาจนระดับเชื้อไวรัสต่ำจนตรวจไม่พบ (Undetectable) จะไม่สามารถแพร่เชื้อไปยังคู่นอนผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้
- แนวคิด U=U ช่วยลดการตีตราทางสังคม และทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
ยาต้านไวรัสชนิดฉีด (Injectable ART)
- เป็นรูปแบบการรักษาใหม่ที่ช่วยให้ผู้ติดเชื้อไม่ต้องรับประทานยาทุกวัน
- ปัจจุบันมี ยาฉีดต้านไวรัสชนิด Long-Acting ที่สามารถฉีดทุก 1-2 เดือน ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย และลดปัญหาการลืมกินยา
การติดตามผล และการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
- ผู้ติดเชื้อควรเข้ารับการตรวจวัดระดับไวรัส และเซลล์ภูมิคุ้มกัน CD4 เป็นระยะ
- ตรวจหาโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น วัณโรค ไวรัสตับอักเสบ และโรคหัวใจ
- ควบคุมปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น การเลิกสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และการออกกำลังกาย

ผลกระทบของการรักษาเอชไอวี
ผลกระทบทางกายภาพ
- ลดปริมาณไวรัสในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
- ลดความเสี่ยงของโรคฉวยโอกาส เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ และมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน
- ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัว ผู้ที่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจะมีสุขภาพดี และอายุยืนยาวขึ้น
ผลข้างเคียงของยาต้านไวรัส
- คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
- อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ
- ผลกระทบต่อตับ และไต (ขึ้นอยู่กับชนิดของยา)
- เปลี่ยนแปลงการเผาผลาญไขมัน ทำให้อ้วนขึ้นหรือน้ำหนักลด
- ผู้ติดเชื้อควรปรึกษาแพทย์หากมีผลข้างเคียงรุนแรง เพื่อเปลี่ยนแปลงแนวทางการรักษา
ผลกระทบทางจิตใจ และสังคม
- ลดความกังวลเกี่ยวกับการแพร่เชื้อ การรักษาที่ได้ผลช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถใช้ชีวิตปกติได้
- ช่วยลดการตีตรา และเลือกปฏิบัติ ความรู้เกี่ยวกับ U=U ทำให้ผู้ติดเชื้อมีความมั่นใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น
- สามารถมีครอบครัวได้ ผู้ติดเชื้อสามารถมีบุตรได้อย่างปลอดภัยหากได้รับการดูแลที่เหมาะสม
แนวทางการป้องกันเอชไอวี
- ใช้ถุงยางอนามัย เป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดโอกาสการติดเชื้อ สามารถใช้ได้ทั้งเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทางทวารหนัก และทางปาก
- ใช้ยา PrEP คือ ยาต้านไวรัสที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนสัมผัสเชื้อ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น
- ผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อเอชไอวี
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยเป็นประจำ
- กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) และกลุ่มคนข้ามเพศ
- ใช้ยา PEP เป็น ยาต้านไวรัสที่ใช้หลังจากสัมผัสเชื้อเอชไอวี เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ ต้องเริ่มใช้ ภายใน 72 ชั่วโมง หลังจากเสี่ยงติดเชื้อ และกินต่อเนื่องเป็นเวลา 28 วัน
- หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาเสพติดหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ร่วมกับผู้อื่น หากจำเป็นต้องใช้เข็มฉีดยา ควรใช้เข็มที่สะอาด และผ่านการฆ่าเชื้อ
- ตรวจหาเชื้อเอชไอวีเป็นประจำ ควรตรวจหาเชื้อเอชไอวีทุก 3-6 เดือน หากมีพฤติกรรมเสี่ยง เพราะการตรวจเร็ว และรักษาเร็วช่วยลดโอกาสการแพร่เชื้อ และควบคุมโรคได้ดีขึ้น
- การศึกษา และความเข้าใจเกี่ยวกับเอชไอวี ให้ความรู้เกี่ยวกับเอชไอวี และแนวทางป้องกันแก่ประชาชน ลดการตีตรา และเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
- ยาเพร็พ (PrEP) ตัวช่วยสำคัญในการป้องกันเอชไอวีที่คุณต้องรู้!
- ยาเป๊ป (PEP) ยาต้านไวรัสฉุกเฉิน ป้องกันได้ทันที
การรักษาเอชไอวีในปัจจุบันก้าวหน้าไปมากจนทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และไม่แพร่เชื้อหากเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม เทคโนโลยีทางการแพทย์ รวมถึงยาต้านไวรัส และแนวคิด U=U ได้เปลี่ยนเอชไอวีจาก “โรคร้ายแรง” ไปเป็น “โรคเรื้อรังที่ควบคุมได้”
หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีความเสี่ยง การตรวจเอชไอวี และการเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็วเป็นกุญแจสำคัญในการมีสุขภาพที่ดี
เอกสารอ้างอิง
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Treatment as Prevention (TasP). Comprehensive details on ART, effectiveness, and U=U concept. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hiv/basics/livingwithhiv/treatment.html
- World Health Organization (WHO). Consolidated guidelines on HIV prevention, testing, treatment, service delivery, and monitoring. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/publications/i/item/9789240031593
- HIV.gov. Treatment as Prevention: Understanding U=U. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.hiv.gov/tasp
- กระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี ประเทศไทย ปี 2566. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก http://www.ddc.moph.go.th
- ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย. การรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีด้วยยาต้านไวรัส และแนวคิด U=U. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.trcarc.org