รู้ทันเอชไอวี จากโรคร้ายสู่โรคเรื้อรังที่ควบคุมได้

รู้ทันเอชไอวี จากโรคร้ายสู่โรคเรื้อรังที่ควบคุมได้

ในอดีต เอชไอวี (HIV) ถูกมองว่าเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่มีทางรักษา และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ และเทคโนโลยีปัจจุบัน เอชไอวีสามารถควบคุมได้ด้วยยาต้านไวรัส (ART) ทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาว มีสุขภาพแข็งแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนกับผู้ที่ไม่มีเชื้อ

การรับรู้เกี่ยวกับ เอชไอวีในฐานะโรคเรื้อรังที่ควบคุมได้ มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยลดความเข้าใจผิด ลดการตีตรา (Stigma) และส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ

รู้ทันเอชไอวี จากโรคร้ายสู่โรคเรื้อรังที่ควบคุมได้

“เอชไอวีไม่ใช่จุดจบของชีวิต แต่คือโรคเรื้อรังที่สามารถควบคุมได้ ด้วยการรักษาที่เหมาะสม และการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง คุณภาพชีวิตที่ดีเป็นไปได้สำหรับทุกคน”

เอชไอวี คืออะไร?

เอชไอวี (HIV – Human Immunodeficiency Virus) เป็นไวรัสที่โจมตีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า CD4 หรือ T-helper cells ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค และการติดเชื้อต่าง ๆ

เมื่อเชื้อเอชไอวีทำลายเซลล์ CD4 ลงไปเรื่อย ๆ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะอ่อนแอลง ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และโรคแทรกซ้อน หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อจะพัฒนาไปสู่ โรคเอดส์ (AIDS – Acquired Immunodeficiency Syndrome) ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ

เอชไอวีแพร่กระจายได้อย่างไร?

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกัน ผ่านทางเลือด น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด และทวารหนัก
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด
  • การแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก ในระหว่างตั้งครรภ์ การคลอดบุตร หรือการให้นมลูก
  • การรับเลือดหรือปลูกถ่ายอวัยวะ ที่ปนเปื้อนเชื้อเอชไอวี (แม้ว่าปัจจุบันจะมีการตรวจคัดกรองอย่างเข้มงวด)

เอชไอวีไม่สามารถแพร่ผ่านทาง

  • การสัมผัสทางผิวหนัง เช่น การจับมือ กอด หรือจูบ
  •  น้ำลาย น้ำตา เหงื่อ หรือปัสสาวะ
  • การใช้ของร่วมกัน เช่น ช้อนส้อม ห้องน้ำ หรือสระว่ายน้ำ

ใครบ้างที่ควรตรวจเอชไอวี?

  • ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่มีสถานะเอชไอวีไม่ชัดเจน
  • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน มีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ หรือมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง
  • ผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันเป็นวิธีหลักในการแพร่เชื้อเอชไอวี ผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดควรได้รับการตรวจเอชไอวีเป็นประจำ
  • หญิงตั้งครรภ์ (เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อไปยังทารก) หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการตรวจเอชไอวีในระยะแรกของการฝากครรภ์ หากพบว่าติดเชื้อเอชไอวี แพทย์สามารถให้ยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังทารก
  • ผู้ที่เคยมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ผู้ที่เคยติดเชื้อซิฟิลิส หนองใน เริม หรือโรคทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวีได้ง่ายขึ้น
  • ผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อเอชไอวี หากมีคู่นอนที่เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี ควรตรวจเอชไอวีเป็นประจำ สามารถลดความเสี่ยงได้โดยการใช้ PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis)
  • ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM – Men who have sex with men) เป็นกลุ่มที่มีอัตราการติดเชื้อเอชไอวีสูงกว่ากลุ่มประชากรทั่วไป
  • ผู้ที่เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ ผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศควรเข้ารับการตรวจเอชไอวีโดยเร็ว โดยแพทย์อาจแนะนำให้รับ ยาเป๊ป (PEP – Post-Exposure Prophylaxis) เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • ผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมทางเพศ ผู้ที่ทำงานบริการทางเพศควรได้รับการตรวจเอชไอวีเป็นประจำเพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
  • บุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับเลือด หรือสารคัดหลั่ง หากมีการสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยที่มีเชื้อเอชไอวี เช่น ถูกเข็มฉีดยาติดเชื้อแทง ควรได้รับการตรวจและอาจต้องรับ PEP

อาการของการติดเชื้อเอชไอวี

อาการของการติดเชื้อเอชไอวีแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ๆ ได้แก่

  1. ระยะติดเชื้อเฉียบพลัน (Acute HIV Infection)
    • เกิดขึ้นในช่วง 2-4 สัปดาห์แรกหลังติดเชื้อ
    • อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองโต มีผื่นแดง
    • อาจหายไปเองในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ
  2. ระยะสงบ (Chronic HIV Infection/Latency Stage)
    • เป็นระยะที่ไม่มีอาการชัดเจน แต่เชื้อยังคงทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว
    • หากไม่ได้รับยาต้านไวรัส ระยะนี้อาจกินเวลาหลายปี
    • ผู้ติดเชื้อที่รับประทานยาต้านไวรัสสม่ำเสมอสามารถมีคุณภาพชีวิตปกติได้
  3. ระยะเอดส์ (AIDS)
    • เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี ที่ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายเกือบหมด
    • ร่างกายอ่อนแอ เสี่ยงต่อ โรคฉวยโอกาส เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ หรือมะเร็งบางชนิด
    • หากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม สามารถชะลอหรือป้องกันการเข้าสู่ระยะเอดส์ได้
การวินิจฉัยเอชไอวี

การวินิจฉัยเอชไอวี

การตรวจหาเชื้อเอชไอวีเป็นวิธีเดียวที่จะทราบสถานะการติดเชื้อของตนเอง เนื่องจากในระยะแรกของการติดเชื้อเอชไอวีมักไม่แสดงอาการ ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ การตรวจเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน

ประเภทของการตรวจเอชไอวี

  • การตรวจแอนติบอดีต่อเอชไอวี (HIV Antibody Test)
    • ตรวจหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อเอชไอวี
    • ตัวอย่าง Rapid HIV Test (ตรวจรวดเร็ว), ELISA Test
    • มักต้องรอ 3-12 สัปดาห์ หลังมีความเสี่ยงเพื่อให้ร่างกายผลิตแอนติบอดีมากพอที่จะตรวจพบ
  • การตรวจแอนติเจนและแอนติบอดี (HIV Antigen/Antibody Test, 4th Generation Test)
    • ตรวจหาโปรตีน p24 antigen ของไวรัสเอชไอวี พร้อมกับแอนติบอดี
    • สามารถตรวจพบเชื้อได้เร็วขึ้น ภายใน 2-4 สัปดาห์ หลังจากได้รับเชื้อ
  • การตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี (HIV RNA Test หรือ PCR Test)
    • เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัสโดยตรง
    • สามารถตรวจพบเชื้อได้เร็วสุดภายใน 10-14 วัน หลังได้รับเชื้อ
    • ใช้ในกรณีที่ต้องการการวินิจฉัยอย่างรวดเร็ว หรือสำหรับทารกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อ

การรักษาเอชไอวี

ปัจจุบัน ไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดจากเอชไอวี แต่ ยาต้านไวรัส (ART – Antiretroviral Therapy) สามารถช่วยควบคุมเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

  • ยาต้านไวรัส (ART – Antiretroviral Therapy)
    • ทำให้ปริมาณไวรัสในร่างกายลดลงจนอยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ (Undetectable)
    • ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
    • ลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น (U=U Undetectable = Untransmittable)
  • รูปแบบของยาต้านไวรัส
    • มักใช้ยาต้านไวรัส สูตรรวม (Fixed-dose combination) เพื่อลดจำนวนเม็ดยาที่ต้องรับประทาน
    • ยาต้านไวรัสแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม เช่น NRTIs, NNRTIs, PIs, INSTIs ซึ่งแพทย์จะเลือกสูตรที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
  • ผลข้างเคียงของยาต้านไวรัส
    • อาจมีอาการข้างเคียงในช่วงแรก เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย
    • ในระยะยาว ควรติดตามผลกระทบต่อ ตับ ไต ระบบเผาผลาญ และกระดูก
  • ข้อสำคัญในการรักษา
    • ต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เพื่อป้องกันการดื้อยา
    • เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อติดตามระดับ CD4 และปริมาณไวรัส

แนวทางการป้องกันเอชไอวี

การป้องกันที่มีประสิทธิภาพช่วยลดการแพร่ระบาดของการติดเชื้อเอชไอวี

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ การใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีที่ง่าย และมีประสิทธิภาพสูง ในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
  • ใช้ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เพราะ PrEP คือ ยาต้านไวรัสที่ช่วยป้องกันเอชไอวี หรือลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้มากถึง 99% หากรับประทานทุกวัน
  • ใช้ยา PEP (Post-Exposure Prophylaxis) หลังมีความเสี่ยง เพราะPEP คือ ยาต้านไวรัสฉุกเฉินที่ใช้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากสัมผัสเชื้อ ลดโอกาสการติดเชื้อเอชไอวีหากได้รับยาเร็ว และรับประทานครบ 28 วัน
  • หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เป็นหนึ่งในวิธีที่เสี่ยงที่สุดในการแพร่เชื้อเอชไอวี
  • การตรวจเอชไอวีเป็นประจำ (HIV Screening & Testing) การตรวจหาเชื้อเป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้สามารถเข้ารับการรักษาได้เร็วหากพบว่าติดเชื้อเอชไอวี และลดโอกาสการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
  • การให้ความรู้เกี่ยวกับเอชไอวี และการป้องกัน  การให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเป็นกุญแจสำคัญ ในการลดการตีตรา และเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพ เพราะเอชไอวีไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว แต่เป็นสิ่งที่เราควรรู้เท่าทัน และรับมืออย่างถูกต้อง

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ วิกฤติสุขภาพที่ยังคงถูกมองข้าม

ปัจจุบันเอชไอวีไม่ใช่โรคร้ายแรงอีกต่อไป แต่เป็นโรคเรื้อรังที่สามารถควบคุมได้หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง การรับยาต้านไวรัสเอชไอวีช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีสุขภาพที่ดี และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ดังนั้นเอชไอวีไม่ได้เป็นจุดจบของชีวิต แต่เป็นโรคที่สามารถจัดการได้ ป้องกันได้ ตรวจพบเร็ว รักษาได้ ควบคุมได้ ฉะนั้นหากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยง ควรเข้ารับการตรวจการติดเชื้อเอชไอวี เพื่อปกป้องสุขภาพของตัวเอง และคนรอบข้าง

เอกสารอ้างอิง

  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Basics: Transmission, Prevention, and Treatment. ข้อมูลเกี่ยวกับเอชไอวี การป้องกัน และแนวทางการรักษา [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hiv/basics/index.html
  • World Health Organization (WHO). Consolidated guidelines on HIV prevention and treatment. แนวทางการป้องกันและรักษาเอชไอวีจากองค์การอนามัยโลก [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/publications/i/item/9789240031593
  • UNAIDS. Global HIV & AIDS statistics — Fact sheet. รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของเอชไอวีทั่วโลก [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.unaids.org/en/resources/fact-sheet
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการป้องกันและรักษาเอชไอวีในประเทศไทย ข้อมูลจากเว็บไซต์ทางการของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th
  • มูลนิธิเอดส์แห่งประเทศไทย (Thai Red Cross AIDS Research Centre). รายละเอียดการใช้ PrEP และการเข้าถึงยาในประเทศไทย [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.trcarc.org

Similar Posts